วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

1) Mercedes Benz


        
         มร์เซเดส-เบนซ์ หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เบนซ์ นับเป็นรถเยอรมันุคณภาพเยี่ยมอีกยี่ห้อหนึ่ง สัญลักษณ์ของรถยี่ห้อนี้ เป็นรูปดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลม ผู้ผลิตรถเมร์เซเดส-เบนซ์ คือ บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ( DAIMLER-BENZ AG) แห่งเยอรมนี ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาป ภายใน บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ถือกำเนิดในปี 1926 โดยเป็นผลลัพธ์จากการรวมตัวของผู้ผลิตรถยนต์สองรายที่มีบทบาทอย่างสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ยุคบุกเบิก คือ บริษัท DAIMLER MOTORENGESELLS- CHAFT ซึ่ง โกทท์ลีบ ไดมเลร์ (GOTTLIEB DAIMLER) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ประดิษฐ์รถยนต์สี่ล้อคันแรกของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 1890 กับบริษัท BENZ & CIE ของคาร์ล เบนซ์ (CARL BENZ) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลกที่ผลิตรถยนต์ออกจำหน่าย และขณะที่รวมกิจการเข้าด้วยกันโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 10 ปี
ส่วนชื่อ เมร์เซเดส (MERCEDES) ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อรถนั้น มีจุดเริ่มต้นในปีที่โกทท์ลีบ ไดมเลร์ถึงแก่กรรมเมื่อ  วิลเฮล์มมายบัค (WILHELM MAYBACH) ผู้สืบทอดกิจการจากโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้ตั้งขื่อรถขนาด 35 แรงม้า ที่ส่งเข้าแข่งขันและได้รับชัยชนะที่เมืองนีศ ในประเทศผรั่งเศสว่า “เมร์เซเดส” ตามชื่อธิดาคนโตของเอมิลเจลลิเนค (EMIL JELLNEK) นายธานคารชาวออสเตรียซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถให้แก่ไดมเลร์ในขณะนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเมร์เซเดสก็ได้กลายชื่อยี่ห้อรถของไดมเลร์ ครั้นเมื่อรวมกิจการเข้ากับเบนซ์ในอีก 26 ปีต่อมา รถที่บริษัทใหม่นี้ผลิตออกจำหน่ายก็ใช้ชื่อ “เมร์เซเดส-เบนซ์” และใช้เครื่องหมายดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลมเป็นสัญลักษณ์ติดต่อกันมาตราบจนปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่สามารถประยุกต์ขบวนการผลิตแบบ MASS PRODUCTION หรือ “มวลผลิต” เข้ากับการผลิตรถระดับหรู หรือ EXOTIC CAR ปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ มีฐานะเป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่มียอดขายสูงสุดของเยอรมนี
ในปี 1990 ไดมเลร์-เบนซ์ ทำยอดขายได้รวมทั้งสินประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท และนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1989 เป็นต้นมา ไดมเลร์-เบนซ์ ได้แยกกิจการผลิตรถยนต์ออกเป็นบริษัทเอกเทศมีชื่อว่าบริษัท เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG) บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ มีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของเยอรมนี ในปี 1990 เมร์เซเดส-เบนซ์ผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้น 574,395 คันและมีรายได้จากการขายรถยนต์นั่งรวมทั้งสิ้นประมาณ 568,000 ล้านบาท ปัจจุบัน เมร์เซเดส-เบนซ์ ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายรวม 4 อนุกรม คือ อนุกรม ดับบลิว 201 (W201) อนุกรม ดับบลิว 124 (W124) อนุกรม ดับบลิว 140 (W140) และอนุกรม อาร์ 129 (R 129) เมร์เซเดส-เบนซ์ มีโรงงานในเยอรมนีรวม 11 โรง มีบริษัทสาขารวม 43 บริษัท มีพนักงานในเยอรนีมากกว่า 182,000 คน และมีพนักงานทั่วโลกประมาณ 235,000 คัน
ชื่อบริษัท: เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG)ก่อตั้ง: ค.ศ. 1926
สำนักงานใหญ่: MERCEDESSTRASSE 136, 7000 STUTTGART 60, GERMANY,
ประธานบริษัท: ศาสตราจารย์ ดร.เวร์เนร์ นีฟเฟร์ (PROF.DR.WERNER NIEFER) โรงงานในเยอรมนี: 11 โรงงาน
จำนวนพนักงาน: ประมาณ 235,000 คน

2)Ferrari

Ferrari ก่อตั้งขึ้นโดยนาย Enzo Ferrari ตั้งแต่ ปี 1929 โดยมีจุดประสงค์ต้องการที่จะทำเป็นอู่รถสำหรับทำรถเพื่อใช้ใน การแข่งขัน motor sport เท่านั้น และหลังจากนั้นอีก 10 ปีต่อมา Enzo Ferrari จึงได้ก่อตั้งบริษัท Ferrari ขึ้นเพื่อผลิตรถยนต์ motor sport ภายใต้ Brand Ferrari ของเขาเอง  แต่หลังจากที่ตั้งได้ไม่นานก็เกิดสงครามโลกขึ้นและผลของสงครามโลกนี่แหละ ทำให้ โรงงานของ Ferrari ได้รับความเสียหายอย่างมากจากการถูกทิ้งระเบิด พอสงครามางบลงนาย Enzo Ferrari  ได้ทำการเปิด โรงงานใหม่อีกครั้ง  เรามาดูกันว่าหลังจากนั้น Ferrari  ได้เนินการอย่างไรต่อไป
- ปี 1946 Ferrari กลับมาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์อีกครั้ง โดยยังคงเป้าหมายหลักคือผลิตรถยนต์ประเภท Motor Sport
- ปี 1969 Enzo Ferrari ได้ขายหุ้น 50% ให้กับ บริษัท Fiat ทำให้ Ferrari ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น Ferrari S.p.A. Esercizio   Fabbriche Automobili e Corse
- ปี 1988 Fiat Group's ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของ Ferrari กว่า 90% โดยตระกูล Ferrari เหลือหุ้นเพียง 10% เท่านั้น และตั้งแต่ ปี 1989 เป็นต้นมา Ferrari ก็เป็นที่รู้จักในชื่อของ บริษัท Ferrari S.p.A. อีกอย่าง ไมเคิล ชูมัคเกอร์  ใช้รถของ   Ferrari แข่งใน formula1  ด้วยนะจะบอกให้ 
ในบรรดารถสปอร์ทพันธุ์อิตาลีที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ คงไม่มีรถสปอร์ทยี่ห้อไหนอีกแล้ว ที่จะโด่งดังและเป็นที่ รู้จักกันดีทั่วโลก ยิ่งไปกว่ารถ เฟร์รารี เจ้าของสมญานาม "ม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล" (THE PRANCING HORSE FROM MARANELLO) สัญลักษณ์ของเฟร์รารี แยกออกได้เป็นสามส่วนและแต่ละส่วนมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือพื้นสีเหลืองเป็นสี ประจำเมืองโมเดนา (MODENA) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานเฟร์รารี รูปม้ากำลังเผ่นโผนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ฟรานเชสโค บารัคคา (FRANCESCO BARACCA) เสืออากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนแถบสีเขียว-ขาว-แดง ที่พาดอยู่ตอนบนคือสี ธงชาติอิตาลี ประวัติความเป็นมาของเฟร์รารีแยกไม่ออกจากประวัติความเป็นมาของ เอนโซ เฟร์รารี (ENZO FERRARI) "ปูชนียบุคคลของวงการรถสปอร์ท และกีฬารถแข่ง" ผู้ก่อตั้งกิจการและนำเฟร์รารีไปสู่ความรุ่งโรจน์ ก่อนก่อตั้งกิจการของตนเอง เอนโซ เฟร์รารี เคยเป็นนักขับรถแข่งให้แก่ อัลฟา โรเมโอ มาก่อนในปี 1940 ขณะที่มีอายุ 42 ปี เขาลาออกและก่อตั้งกิจการขึ้นเอง มีชื่อว่า SOCIETA AUTO AVIO CONSTRUZIONI RERRARI กิจการที่ทำคือ ออกแบบและผลิตรถแข่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ รถสปอร์ทและทีมแข่งรถที่มีชื่อเสียงอยู่ยงคงกระพันมากว่า 4 ทศวรรษ 
กล่าวได้ว่า แทบไม่มีการแข่งรถรายการใดในยุโรปที่เฟร์รารีไม่เคยชนะ เฟร์รารีคว้าตำแหน่งแชมป์โลกผู้ผลิตมาแล้วรวม 14 ครั้ง คว้าแชมป์การแข่งเลอมังส์ 24 ชั่วโมง 9 ครั้ง ชนะเลิศการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลกรวม 103 ครั้ง ครองตำแหน่งแชมป์โลก ผู้สร้างรถ 6 สมัย และครองตำแหน่งแชมป์โลกนักขับรวม 8 สมัย ในวงการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลก เฟร์รารีคือทีมที่ประสบ ความสำเร็จสูงสุดควบคู่กับการแข่งรถคือการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดเพื่อจำหน่ายให้แก่นักเลงรถยนต์ผู้มีรสนิยม โดยที่ส่วนใหญ่ เฟร์รารีจะออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ขึ้นเอง และว่าจ้างผู้ชำนาญการด้านตัวถัง เช่น ปินินฟารินา ฯลฯ เป็นผู้ออกแบบตัวถังในช่วง 46 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 1946 จนถึงปัจจุบัน เฟร์รารีผลิตเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 160 แบบ และผลิตรถสปอร์ทแบบต่างๆ ออก จำหน่ายในตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 60,000 คัน รถที่ผลิตมากที่สุด คือ เฟร์รารี 328 จีทีเอส (4,979 คัน) รองลงไปคือ เฟร์รารี เตสตาโรสซาและเฟร์รารี จีทีเอส ควาตโตร วาลโวเล ปัจจุบัน เฟร์รารีมีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในกลุ่มของเฟียตเช่น เดียวกับลันชิอา และอัลฟา โรเมโอ กิจการของเฟร์รารีแยกออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนการผลิตรถตลาด และส่วนทีมแข่งรถ ทั้งสองส่วนนี้มีการบริหารแยกเป็นอิสระจากกัน ปัจจุบันเฟร์รารีผลิตรถออกจำหน่ายเพียงไม่กี่รุ่นแต่ทุกรุ่นก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น รถสปร์ทชั้นยอด สำหรับกิจกรรมการแข่งรถ เฟร์รารีกำลังอยู่ในช่วงที่ตกต่ำสุดขีดเพราะไม่เคยชนะอีกเลยนับแต่ชนะครั้งสุดท้าย เมื่อปลายปี 1990
ชื่อบริษัท: เฟร์รารี เอส.พี.เอ. เอเซร์ชิซิโอ แฟบบริเค ออโตโมบิลี เอ คอร์เซ FERRARI S.p.A. ESERCIZIO FABBRICHE AUTOMOBILI E CORSE ก่อตั้ง: ค.ศ. 1940 สำนักงานใหญ่: VIALE TRENTO TRIESTE 31, 41100 MODENA, ITALY เว็บไซต์: www.ferrari.com

3)Lamborghini

ตลอดประวัติศาสตร์, Lamborghini มี envisioned และนำเสนอความหลากหลายของรถยนต์แนวคิดเริ่มต้นในปี 1963 กับต้นแบบ Lamborghini แรกที่ 350GTV รุ่นที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ได้แก่ Bertone ของ Marzal 1967, 1974 Bravo และอาทร 1980, Chrysler 's 1987 Portofino, Italdesign - styled Cala จากปี 1995 และ Zagato Raptor - built from 1996  retro - styled รถ Lamborghini Miura แนวคิดที่สร้างครั้งแรกของ de'Silva ออกแบบหัวหน้า Walter, ได้นำเสนอในปี 2006 กรรมการผู้จัดการใหญ่ Stephan Winkelmann ปฏิเสธว่าแนวคิดนี้จะถูกใส่ลงในการผลิตบอกว่าแนวคิด Miura คือ"ฉลองประวัติศาสตร์ของเรา แต่ Lamborghini เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคต . ออกแบบ Retro ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นนี่ . ดังนั้นเราจะไม่ ทำ Miura] [ใหม่ . [53]  ที่ 2008 Paris Motor Show, Lamborghini Estoque พบแนวคิดซีดานสี่ประตู แม้ว่าจะมีการเก็งกำไรได้ มากที่สุดเกี่ยวกับการผลิตของ Estoque, [54] [55 การจัดการ] Lamborghini ไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตสิ่งที่อาจเป็นรถสี่ประตูม้วนแรกที่ออกจาก โรงงาน Sant'Agata . [56] [edit] Motorsport Miura เริ่มเป็นต้นแบบลับ, รถแข่งที่มีรกรากใน บริษัท ที่มีทั้งหมดกับมอเตอร์สปอร์ต  ตรงกันข้ามกับคู่ต่อสู้ของ เขา Enzo Ferrari, Lamborghini Ferruccio ได้ตัดสินใจก่อนที่จะมีไม่แข่งโรงงานสนับสนุนของ Lamborghinis, ดูมอเตอร์สปอร์ตที่แพงเกินไปและการระบายน้ำด้วยทรัพยากร บริษัท . [อ้างจำเป็น] นี้ผิดปกติสำหรับเวลาเป็น ผู้ผลิตรถยนต์หลายกีฬาขอ แสดงให้เห็นถึงความเร็วความเชื่อถือได้และเหนือกว่าการมีส่วนร่วมทางด้าน เทคนิคผ่านมอเตอร์สปอร์ต Enzo Ferrari โดยเฉพาะเป็นที่รู้จักสำหรับการพิจารณาธุรกิจรถเขาถนนเพียงแหล่งเงินทุน สำหรับการมีส่วนร่วมของเขาในมอเตอร์แข่ง นโยบาย Ferrucio ที่นำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างเขาและวิศวกรหลายคนมีแข่งที่ชอบเล่นของเขา บางส่วนได้ทำงานก่อนที่ Ferrari เมื่อ Dallara, Stanzani และ Wallace เริ่มทุ่มเทเวลาว่างเพื่อการพัฒนาต้นแบบ P400 ที่จะออกแบบให้เป็นรถถนนที่มีศักยภาพในการแข่งรถหนึ่งที่สามารถชนะในการ ติดตามและยังได้รับการขับเคลื่อนบนถนนโดย enthusiasts . [ 15] เมื่อ Ferruccio พบโครงการที่เขาได้รับอนุญาตให้ไปข้างหน้าเห็นเป็นอุปกรณ์การตลาดที่มี ศักยภาพของ บริษัท ในขณะที่ยืนยันว่าจะไม่วิ่งP400 ไปในการเป็น Miura บริษัท ที่ใกล้เคียงที่สุดมาสร้างรถแข่งจริงภายใต้การดูแล Lamborghini ของคนไม่กี่ต้นแบบแก้ไขอย่างมากรวมถึงสร้างโดย test driver โรงงาน Bob Wallace เช่น Miura SV - based"Jota"และ Jarama S - based"Wallace Bob Special"  ภายใต้การจัดการของ Georges - Henri Rossetti, Lamborghini สัญญากับ BMW ในการสร้างการผลิตรถแข่งในปริมาณเพียงพอสำหรับ homologation แต่ Lamborghini ไม่สามารถเติมเต็มส่วนหนึ่งของสัญญา รถพัฒนาที่สุดในบ้านโดย BMW Motorsport กองและได้ผลิตและขายเป็น BMW M1 . [57] [58] 1991 102B Lotus ซึ่ง featured V8 Judd ในสถานที่ที่ไม่น่าเชื่อถือ Lamborghini V12 ใช้เดิม 102  ใน 1980s, Lamborghini พัฒนา QVX สำหรับฤดูกาล 1986 แชมป์กลุ่ม C หนึ่งรถถูกสร้างขึ้น แต่ขาดการสนับสนุนให้มันพลาดฤดูกาล QVX แข่งขันในเพียงหนึ่งเชื้อชาติแชมป์ไม่ 1986 Southern ซันแข่ง km 500 ที่ Kyalami แอฟริกาใต้ขับเคลื่อนด้วย TIFF Needell แม้จะมีรถจบดีกว่ามันเริ่ม ต้นที่สนับสนุนได้อีกครั้งไม่พบและโปรแกรมถูกยกเลิก . [59]  Lamborghini เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ในสูตรหนึ่งระหว่าง 1989 และ 1993 สูตรหนึ่งฤดูกาล ได้จัดเครื่องมือเพื่อ Larrousse (1989-1990,1992-1993), Lotus (1990), Ligier (1991), Minardi (1992), และทีม Modena ในปี 1991 ในขณะที่หลังเรียกทั่วไป ว่าทีมโรงงาน บริษัท เห็นตัวเองเป็นผู้จำหน่ายไม่ใช่ผู้สนับสนุน 1992 Larrousse - Lamborghini เป็นส่วนใหญ่ แต่สำคัญใน uncompetitive แนวโน้มในการคายไอเสียน้ำมันจากระบบของ รถต่อไปอย่างใกล้ชิดหลัง Larrousse ถูกสีปกติสองสีสิ้นแข่ง . [อ้างจำเป็น]  ในปลายปี 1991 Lamborghini Formula One ยนต์ที่ใช้ใน Konrad KM - 011 C Group กีฬารถ แต่รถเท่านั้น lasted ก่อนการแข่งขันไม่กี่โครงการถูกยกเลิก เครื่องมือเดียวกันอีก badged ไครสเลอร์จาก บริษัท แม่ของ Lamborghini แล้วได้ทดสอบโดย McLaren ปลายฤดู 1993 โดยมีเจตนาของการใช้มันในช่วงฤดู 1994 แต่ driver Ayrton เซนประทับใจกับรายงานประสิทธิภาพของเครื่องยนต์, McLaren ทำลายออกจากการเจรจาการเลือกเครื่องยนต์ Peugeot แทนและไครสเลอร์สิ้นสุดโครงการ Murcielago R - GT เข้าร่วมใน FIA GT Championship ที่ซิลเวอร์สโตนในปี 2006  สองรุ่นแข่งของ Diablo ถูกสร้างขึ้นสำหรับ Diablo Supertrophy ชุดแข่งรุ่นเดียวที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี 1996-1999 ในปีแรกแบบที่ใช้ในชุดเป็น Diablo SVR ขณะที่ Diablo GTR 6.0 โดยใช้ส่วนที่เหลืออีกสามปี . [60] [61] Lamborghini พัฒนา Murciélago R - GT ในการผลิตรถแข่งในการแข่งขันChampionship FIA GT, GT Championship Super และ American Le Mans Series 2004 วางสูงสุดของรถในการแข่ง ขันที่ปีเป็นรอบที่เปิดการ FIA GT Championship ที่วาเลนเซียซึ่งรถที่ป้อนโดย Reiter Engineering ใดเสร็จที่สามจากเริ่มต้นที่ห้า . [62] [63] ในปี 2006 ในระหว่างรอบเปิด ของแชมป์ Super GT ที่ Suzuka, รถวิ่งจากญี่ปุ่น Lamborghini เจ้าของสโมสรรวบรวมมาชัยชนะครั้งแรก (ในห้องเรียน) โดย R - GT รุ่นของ Gallardo GT3 ได้รับการพัฒนาโดย Reiter Engineering . [64] Murciélago R - GT ป้อนโดยแข่งทั้งหมด Inkl.com, ขับเคลื่อนด้วย Christophe Bouchut และ Stefan Mücke ชนะรอบเปิดการ FIA GT Championship ณ Zhuhai International Circuit, บรรลุแรกชัยชนะการแข่งขันที่สำคัญระหว่างประเทศสำหรับ Lamborghini

4)Porche

Porsche 911 Sport Classic
เมื่อเอ่ยถึงรถสปอร์ทพันธุ์เยอรมันนักเลงรถสปอร์ทร้อยทั้งร้อยต้องนึกถึงชื่อ โพร์เช เป็นชื่อเเรก เพราะรถสปอร์ทยี่ห้อนี้ครองใจผู้ใช้รถทั่วโลกมาแล้วกว่าสี่ทศวรรษ สัญลักษณ์ของโพร์เช เป็นตราประจำเมืองชตุทท์การ์ท(STUTTGART)ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถโพร์เชนั่นเอง ประวัติความเป็นมาของโพร์เชก็คือประวัติของ ดร.เฟร์ดินันด์ โพร์เช (DR.FEREINAND PORSCHE) “อัจฉริยบุคคลแห่งโลกรถยนต์” ที่วงการรถสปอร์ททั่วโลกรู้จักกันดี ก่อนก่อตั้งบริษัท DR.ING.H.V. PORSCHE AG และผลิตรถยนต์สปร์ทออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 1948 เฟร์ดินัน โพร์เช เคยทำงานให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของเยอรมนีมาแล้วหลายราย เช่น เมร์เซเดส-เบนซ์ โฟล์คสวาเกน วอนเดเร์ ฯลฯ ผลงานที่เฟร์ดินันท์ โพร์เช สร้างขึ้นและถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการรถยนต์มีมากมายสุดจะจาระไน นอกจากชื่อเสียงในการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอด ในวงการแข่งรถชื่อเสียงของโพร์เชก็ไม่น้อยหน้าใคร โพร์เชชนะมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าการแข่งความเร็วระยะสั้น การแข่งรถทางไกล หรือการแข่งเเรลลี ประจักษ์พยานยืนยันคือ ตำแหน่งเเชมป็การแข่งเลอมองส์ 24 ชั่วโมง อันมีชื่อเสียง แชมป์ผู้สร้างรถฟอร์มูลา 2 แชมป์โลกแรลลีสามสมัยซ้อน (1968-1970)แชมป์โลกผู้สร้างรถฟอร์มูลา 1 สองสมัยซ้อน (1984-1985) ฯลฯ มักเข้าใจกันอย่างผิดๆ ว่าโพร์เชเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีโฟล์คสวาเกนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แท้จริงแล้วโพร์เชยังคงมีลักษณะเป็น”กิจการในครอบครัว” คือมีผู้ถือหุ้นเพียง 10 คน โดยที่หัวเรือใหญ่ คือ เฟอร์รี โพร์เช อภิชาต บุตรของเฟร์ดินันด์ โพร์เชซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 1915 ปัจจุบันโพร์เชมีโรงงานผลิตรถยนต์อยู่เพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ที่เมืองชตุทท์การ์ท เยอรมนีตะวันตก ในปี 1990 โพร์เชผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 32,162 คัน รถที่ผลิตมากที่สุดคือ โพร์เช 911 รองลงไปคือ โพร์เช 944 และโพร์เช 928 ปัจจุบันโพร์เชผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 12 โมเดล

5)Audi

สัญลักษณ์เดิมของเอาดีเป็นรูปวงแหวนสี่วงคล้องเรียงกันแต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอาดีได้เปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นรูปวงรีสีแดงภายในบรรจุตัวอักษร AUDI สีขาว อย่างไรก็ตามรถเอาดีทุกคันที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน บนแผงกระจังหน้ายังคงติดสัญลักษณ์วงแหวนสี่วงเช่นเดิม ประวัติความเป็นมาของเอาดีสามารถย้อนหลังไปได้จนถึงปี 1902 อันเป็นปีที่นาย ออกัสท์ ฮอร์ค AUGUST HORCH วิศวกรชาวเยอรมันได้เปิดกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นในเยอรมันโดยใช้ชื่อสกุลของเขาเป็นยี่ห้อรถ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฝีมือในการบริหารเงินทุนของนายฮอร์คไม่ได้ปราดเปรื่องเหมือนความรู้ทางวิศวกรรมที่เขามีอยู่ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นนายฮอร์คก็ต้องขายกิจการดังกล่าวให้แก่ผู้อี่น ไปเพราะมีทีท่าว่าถ้าขืนทู่ซี้ต่อไปกิจการก็อาจจะล้มละลาย แต่นายฮอร์คไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ในปี 1909 เขาก็ก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่จะใช้ชื่อเดิมก็ไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย บังเอิญไปได้ความรู้จากบุตรชายที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยว่า ชื่อ HORCH มีความหมายเหมือนคำ ว่า AUDI ในภาษาละติน (แปลว่า “ฟัง”) นายฮอร์คจึงตัดสินใจใช้ชื่อ AUDI เป็นยี่ห้อของรถที่ผลิตนับแต่นั้น เอาดีประกอบกิจการผลิตรถยนต์เป็นเอกเทศจนถึงปี 1932 ก็ถูกสภาวะเศรษฐกิจบีบบังคับให้ต้องรวมกิจการเข้ากับผู้ผลิตรถยนต์อีกสามราย คือ ฮอร์ค (HORCH) วอนเดอเรอร์ (WANDERER) และดีเคดับลิว (DKW) กลายเป็นบริษัทใหม่มีชื่อว่า ออโต้ ยูเนียน (AUTO UNION) และมีรูปวงแหวนสี่วงคล้องเรียงกันเป็นสัญลักษณ์ หลังสงครามโลกครั้งที่สองเยอรมันถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศโรงงานของเอาโท ยูเนียน ซึ่งอยู่ในเยอรมนีตะวันออกถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐ และเปลี่ยนชื่อรถที่ผลิตเป็น ทราบันท์ (TRABANT) ส่วนในเยอรมนีตะวันตกก็มีการก่อตั้งออโต้ ยูเนียน ขึ้นใหม่ในปี 1949 แต่คราวนี้ผลิตรถออกจำหน่ายเพียงยี่ห้อเดียวคือ ดีเคดับลิว ชื่อ เอาดี ฮอร์ค และวอนเดอเรอร์ จึงตายไปจากอาณาจักรรถยนต์ 15 ปีหลังจากนั้น โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเยอรมันเข้าครองกิจการของออโต้ ยูเนียน และหนึ่งปีหลังจากนั้น ชื่อ เอาดี ก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโฟล์คสวาเกนใช้ชื่อ เอาดี 80 เป็นชื่อรุ่นของรถแบบใหม่ที่สร้างขึ้นจากตัวถึงและโครงฐานของรถดีเคดับลิวเอฟ 102 และติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 1.7 ลิตร
ปรากฎว่ารถแบบดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีชื่อเอาดีจึงฮิทติดตลาดและรถ เอาดี 90 กับ เอาดี100 ก็ตามมา ปัจจุบัน เอาดี มีฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มโฟล์คสวาเกน-เอาดี-เซอาท (VOLKSWAGIN-AUDI-SEAT) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทีมียอดขายสูงสุดในยุโรปตะวันตก ปี 1990 ทำยอดขายได้ถึง 2.0 ล้านคัน รถยนต์นั่งที่เอาดีผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน มีตั้งแต่รถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่าง เอาดี 80 ไปจนถึงรถยนต์นั่งระดับหรูสำหรับนักบริหารอย่าง เอาดี วี 8
ชื่อบริษัท: เอาดี อาเก
AUDI AG ก่อตั้ง: ค.ศ. 1969 สำนักงานใหญ่: POSTFACH 220,8070 INGOLSTADT, GERMANY

6)ASTON MARTIN

แอสตันมาร์ติน เป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตของอังกฤษที่มีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษ ประวัติของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้เริ่มต้นในปี 1913 เมื่อไลโอเนล มาร์ติน (LIONEL MARTIN) เจ้าของอู่ซ่อมรถในย่านเคนซิงตัน กรุงลอนดอน กับโรเบิร์ท แบมฟอร์ด (ROBERT BAMFORD) นักธุรกิจรายย่อยผู้สนใจในเรื่องรถยนต์ ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทขนาดเล็กขึ้นด้วยเงินทุน 1,000 ปอนด์ รถยนต์คันแรกที่บริษัทดังกล่าวผลิตได้สำเร็จ เป็นรถสปอร์ตขนาดเล็ก ใช้เครื่องยนต์โคเวนทรีไคลแมกซ์ (COVENTRY-CLIMAX) ที่โด่งดังในยุคนั้น และใช้ตัวถังของรถฮีสปาโน-ซุยซา (HISPANO-SUIZA) ในบักคิงแฮมเชอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงลอนดอน ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามชัยชนะดังกล่าว ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจผลิตรถสปอร์ตออกจำหน่ายในตลาด โดยใช้ชื่อ แอสตัน มาร์ติน(ASTON MARTIN) เป็นชื่อรถ แอสตัน มาร์ติน ประกอบธุรกิจผลิตรถยนต์ควบคู่กับการโลดแล่นในสนามแข่งขันได้เกือบ 4 ทศวรรษ แล้วก็ต้องผจญมรสุม ด้านการเงินจนมีทีท่าว่าจะเอาตัวไม่รอfหลังสงครามโลกครั้งที่สองคือในปี
1947 กิจการของแอสตันมาร์ตินก็ต้องอยู่ในครอบครองของเดวิด บราวน์ (DAVID BROWN) นักอุตสาหกรรมเจ้าของกิจการผลิตรถแทรคเตอร์อันเลื่องชื่อ เดวิด บราวน์ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ท่านเซอร์ได้รวมกิจการของผู้ผลิตรถยนต์อีกรายหนึ่งคือ ลากอนดา (LAGONDA) และเปลี่ยนชื่อกิจการ เป็น แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา (ASTON MARTIN LAGONDA) อันเป็นชื่อที่ใช้ตราบจนปัจจุบัน แอสตัน มาร์ตินในยุคของเซอร์เดวิด บราวน์ มีอายุเพียง 24 ปี ก็ประสบปัญหาด้านการเงินอีกครั้ง คราวนี้กิจการถูกเปลี่ยนกรรมสิทธ์มาอยู่ในความครอบครองของกลุ่มบริษัทจัดสรรและพัฒนาที่ดินในอังกฤษ ซึ่งมีเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่จะกอบกู้ฐานะของแอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ให้ฟื้นคืนอีกครั้งหนึ่ง แต่เจ้าของใหม่รายนี้ก็ไปไม่รอด เพราะเพียง 4 ปีหลังจากนั้น แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ก็ประสบภาวะล้มละลาย กิจการทั้งหมดถูกยึดเป็นสมบัติของสมาคมธนาคาร นักธุรกิจรายล่าสุดที่หาญเข้ามากอบกู้ฐานะของแอสตันมาร์ตินลากอนดาเป็นกลุ่มนักธุรกิจชาวแคนาดา ซึ่งว่าจ้างนักธุรกิจบริหารมืออาชีพผู้มีนามว่านายวิคเตอร์ กอนท์เลทท์ (VICTOR GAUNTLETT) เป็นผู้กุมบังเหียน อย่างไรก็ตาม กิจการของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาโดยตลอด และตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ก็ได้กลายสภาพเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในครอบครองของฟอร์ดมอเตอร์ คัมปะนี แห่งสหรัฐอเมริกาโดยสมบูรณ์


7) Maserati

 บริษัทผู้ผลิตรถหรูแห่งอิตาลี ก่อตั้งโดย 5 พี่น้องแห่งตระกูล Maserati เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1914 เมือง Bologna มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Modena ซึ่งปัจจุบันได้ถูกครอบครองโดยเจ้าพ่อแห่งวงการรถยนต์อิตาลี Fiat S.p.A ตั้งแต่ปี 1993

5 พี่น้องแห่งตระกูล Maserati ได้แก่ Alfieri, Bindo, Carlo, Ettore, และ Ernesto เป็นผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการรถยนต์ทั้งสิ้น โดยที่ Alfieri, Bindo และ Ernesto เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ 2 ลิตร ให้กับรถแข่งยี่ห้อ Diatto เพื่อใช้สำหรับการลงแข่ง Grand Prix ด้วยประสบการณ์ของพวกเขาที่เคยทำงานให้กับ Diatto จึงกลายเป็นแรงผลักดันทำให้เกิด Maserati คันแรกขึ้นมานั่นคือ Maserati Tipo 26 โดย Alfieri เป็นผู้ขับและสามารถคว้าชัยได้จากรายการ Targa Florio งานแข่งรถเก่าแก่บนภูเขาในปี 1926
        ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ในตระกูลอย่าง Mario ผู้เป็นช่างศิลป์และนักวาดภาพ ได้ช่วยออกแบบยี่ห้อของรถรูปตรีศูล (Trident) ซึ่งต้นแบบความคิดมาจาก Fontana di Nettuno บ่อน้ำพุรูปเทพเนปจูนที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Bologna เทพเจ้าแห่งน้ำและทะเลผู้ถือตรีศูลเป็นอาวุธ 

        ในปี 1931 พี่น้อง Maserati ได้ขายหุ้นส่วนของบริษัทให้กับครอบครัว Adolfo Orsi ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการย้ายสำนักงานใหญ่ไปยัง Modena ซึ่งเป็นที่อยู่ในปัจจุบัน จากนั้นในปี 1932 Alfieri Maserati ได้ถึงแก่กรรม ส่วนพี่น้องที่เหลือก็ยังคงดำเนินกิจการทางด้านรถแข่ง และเดินหน้าคว้าชัยเบียดยักษ์ใหญ่เยอรมันอย่าง Auto Union (Audi) และ Mercedes ซึ่งรถที่นำชื่อเสียงมาให้พวกเค้าคือ Maserati 8CTF ที่สามารถคว้าชัยชนะนอกบ้านในรายการ Indianapolis 500-Mile Race ในรัฐ Indiana สหรัฐอเมริกา 

        จากนั้นมาก็เข้าสู่ช่วงสภาวะสงครามโลก พี่น้อง Maserati จำเป็นต้องวางมือกับวงการรถแข่งเพื่อเข้าร่วมกองทัพและผลิตรถ V16 ให้แก่ Benito Mussolini หัวหน้ารัฐบาลคนที่ 1 แห่งอิตาลี และ Adolf Hitler จอมเผด็จการแห่งเยอรมัน แต่ยังไม่ทันได้สำเร็จเป็นรูปร่างก็สิ้นสุดสงคราม จึงหันกลับมาเดินหน้าผลิตรถภายใต้ชื่อตัวเองสำเร็จออกมาเป็นรุ่น Maserati A6 เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปิดฉากการแข่งขันที่จะเริ่มขึ้นในช่วงหลังสงครามโลก 

        ต่อมาพวกเขาได้หมดสัญญากับครอบครัว Orsi จึงได้ผันตัวออกมาทำบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตที่ชื่อว่า O.S.C.A. และสร้างรถแข่งอย่างรุ่น 4CLT, 8CLT และรุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือ A6GCM แต่หลังจากนั้นก็ยุติวงการแข่งรถเนื่องด้วยอุบัติเหตุที่เมือง Guidizzolo ในปี 1957 จึงขายบริษัท O.S.C.A. ให้กับท่านเคาท์ Domenico Agusta แต่พวกเขาก็ยังคงสร้างรถสำหรับการแข่งประเภทอื่นๆ โดยไร้สังกัด และหันมาสนใจผลิตรถบนท้องถนนมากขึ้น 

        ต่อมาในปี 1968 Adolfo Orsi ผู้ครอบครองรถยี่ห้อ Maserati ได้ขายบริษัทให้กับผู้ผลิตสัญชาติฝรั่งเศส Citro?n ทำให้เกิดรถรุ่นใหม่และสร้างได้จำนวนมากกว่าเดิม เพราะ Citro?n ได้อาศัยความเชี่ยวชาญและการผลิตเครื่องยนต์จาก Maserati ไปประยุกต์ใช้กับรถรุ่น Citro?n SM และรุ่นอื่นๆ ส่วน Maserati เองก็ได้แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับ Citro?n อย่างเช่นรถรุ่น Maserati Bora และ Maserati Quattroporte II ถือว่าเป็นผลดีจากการจับมือทางการค้าของทั้งสองค่าย แต่ต่อมาในปี 1973 ช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันโลก ส่งผลกระทบกับ Citro?n จนถึงขั้นล้มละลาย ทำให้บริษัท PSA Peugeot Citro?n ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการเกื้อหนุนจากกองทุนรัฐบาลอิตาลีได้เข้ามารับช่วงการบริหารต่อ 

        จากนั้นในปี 1975 อดีตนักแข่งรถชาวอาเจนตินา Alessandro de Tomaso ได้เข้าครอบครองกิจการ ซึ่ง De Tomaso นั้นได้ทำงานร่วมกับบริษัท Chrysler ทั้งสองจึงร่วมสร้างผลงานขึ้นมาอีก 1 รุ่นคือ Chrysler TC by Maserati ต่อมาในปี 1993 Maserati ก็ได้ถูกซื้อโดยบริษัทใหญ่อย่าง Fiat Auto ซึ่งลงทุนกับ Maserati มหาศาล และในระหว่างนั้นก็ได้ขายหุ้นส่วน 50% ให้กับบริษัทในเครืออย่าง Ferrari 

        ต่อมาไม่นาน Ferrari ก็ได้เข้าควบคุมกิจการทั้งหมด ปรับเปลี่ยนรูปแบบของ Maserati ให้มีรูปแบบที่หรูหรามากขึ้น จัดการโละอุปกรณ์เก่าๆ ทิ้งและติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัยที่โรงงาน Modena ด้วยเครดิตของ Ferrari ทำให้ Maserati สามารถกลับมาสดใสได้อีกครั้ง เริ่มตีตลาดฝั่งอเมริกาและทั่วโลก จากนั้นในปี 2005 Maserati ได้แยกออกจาก Ferrari ไปรวมตัวกับ Alfa Romeo ซึ่งอยู่ในเครือของ Fiat Auto เช่นกัน สามารถทำกำไรครั้งแรกในรอบ 17 ปีให้กับ Fiat Auto Group ได้ในปี 2007 

อ้างอิง : www.wikipedia.com